เวลาทำการ

จันทร์-อาทิตย์

08.00-20.00 น.

เราช่วยคุณได้

@f-startravel

Travel License : 11/10885

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวยุโรป 5 ประเทศ ที่สุดความสวย พิกัดฮิตที่ใครก็ฝันอยากไป!

เที่ยวยุโรป 5 ประเทศ ที่สุดความสวย พิกัดฮิตที่ใครก็ฝันอยากไป!

27

Dec

อิตาลี

เที่ยวยุโรป 5 ประเทศ ที่สุดความสวย พิกัดฮิตที่ใครก็ฝันอยากไป!

ถ้าจะให้นึกถึง การไปเที่ยวยุโรป หรือ ทัวร์ยุโรป ทัวร์ยุโรป 2567 สถานที่ท่องเที่ยวที่บรรยากาศดี วิวสวยชวนตะลึง จึ้งราวสวรรค์บนดินแบบที่เราสัมผัสได้จริงด้วยตาเปล่า หลายๆ คนต้องนึกถึงโซนประเทศแถบยุโรป หรือ ประเทศน่าเที่ยวในยุโรป เช่น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ และออสเตรีย อย่างแน่นอน วันนี้พี่หมี F-Star Travel ก็มีแพลนสถานที่สำหรับ เที่ยวยุโรป 5 ประเทศ น่าเที่ยว มาแนะนำ เป็นโลเคชั่นที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยตะลึง อยู่ในระดับ Top ของโลก และเป็นพิกัดฮอตฮิต ที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนไม่รู้จัก ใครอยากสัมผัสความสวยงามสุดโรแมนติก แสนตราตรึงใจ ขอให้ตามพี่หมีมาได้เลยรับรองไม่ผิดหวัง กับ 5 ประเทศน่าเที่ยวในยุโรป ที่สุดความสวยตะลึงจนลืมหายใจ พิกัดฮิตที่ใครก็ฝันอยากไปซักครั้ง!

1. เซอร์แมท (Zermatt) สวยตรึงใจเมืองในฝัน , สวิตเซอร์แลนด์

เริ่มต้น ทัวร์ยุโรป กับ 5 ประเทศน่าเที่ยวในยุโรป ด้วยประเทศยอดนิยมอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งพิกัดไฮไลท์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการกล่าวถึงว่าสวยและสุดแสนโรแมนติกที่สุด ก็คือ เซอร์แมท (Zermatt) เมืองชนบทเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์และมี ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) อันโด่งดังเป็นสัญลักษณ์นั่นเอง เมืองเซอร์แมท ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ที่ระดับความสูง 1,608 เมตรหนือระดับน้ำทะเล


เมืองนี้เหมาะมากสำหรับนักท่องเที่ยวสายชอบเดินป่า ปีนเขา เล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ด และนั่งรถไฟชมธรรมชาติ เมืองนี้ยังมีเส้นทางเดินป่ามากมายหลายระดับ ตั้งแต่เส้นทางที่ง่ายสำหรับครอบครัวไปจนถึงเส้นทางที่ท้าทายสำหรับนักปีนเขามืออาชีพ เซอร์แมทยังเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ท และที่เล่นสโนว์บอร์ดขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี และอีกหนึ่งความน่าสนใจของเซอร์แมท ก็คือ การเป็นเมืองปลอดมลพิษ อากาศสะอาดสดชื่น เพราะเป็นเมืองปลอดมลพิษและปลอดรถยนต์นั่นเอง โดยนักท่องเที่ยวี่มาเยือน จะต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยรถไฟ โดยและใช้บริการแท็กซี่ไฟฟ้าและรถม้าเป็นพาหนะหลักภายในเมือง และนอกจากมีอากาศสะอาดปราศจากมลพิษแล้วนั้น ที่นี่ยังได้ชื่อว่ามีธรรมชาติสวยงามตราตรึงใจ และมีเส้นทางท่องเที่ยวที่แสนโรแมนติก 


โดยเมืองนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่าน หนึ่งในภูเขาที่สวยและมีชื่อเสียงที่สุดคือ Matterhorn ยอดเขาทรงพีระมิด ที่สูงที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมี ”รถไฟสายกลาเซีย เอ็กเพลส" (Glacier Express) รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งช้าที่สุดในโลก ที่จะพาคุณวิ่งไปบนเส้นทางสุดโรแมนติก ไปชมทัศนียภาพของภูเขาสูงและทะเลสาบอันเงียบสงบ โดยรถไฟจะวิ่งจากเมือง St. Moritz สู่เมืองเซอร์แมท ผ่านเทือกเขา Swiss Alps และยอดเขา Matterhorn ซึ่งความพิเศษของ รถไฟสายนี้คือ หน้าต่างและเพดานของขบวนนี้จะเป็นกระจกใสแบบ Panoramic ทำให้คุณสามารถนั่งชมวิวสวยๆ ได้รอบทิศทาง ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติตลอดเส้นทาง


2. ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) หมู่บ้านริมทะเลสาบสวยที่สุดในโลก , ออสเตรีย

หากเพื่อนๆ อยากมีช่วงเวลาดีๆ กับประเทศน่าเที่ยวในยุโรป สถานที่ที่สวยงาม สงบ และโรแมนติก ต้องไม่พลาดที่ ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบของประเทศออสเตรีย ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในโลก และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) ตั้งอยู่ในเมืองซัลทซ์คัมเมอร์กูท (Salzkammergut) เป็นหมู่บ้านสไตล์ยุโรปดั้งเดิม ที่มีขนาดบ้านเล็กๆ แต่สีสันสดใส ตั้งเรียงรายอยู่ริมทะเลสาบ ทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในที่พักตากอากาศที่ดีที่สุดของประเทศ ด้วยภูมิประเทศที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาและทะเลสาบ บวกกับอากาศหนาวเย็นตลอดปี จึงทำให้ภาพวิวทิวทัศน์ในมุมต่างๆ ของเมืองนี้ ได้ถูกบันทึกเป็นภาพโปสการ์ด ส่งออกสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก จนกลายเป็นภาพจำว่าเป็นหนึ่งในประเทศน่าเที่ยวในยุโรปสุดโรแมนติกเลยล่ะ  


หมู่บ้านฮัลล์สตัทท์ สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยในแต่ละฤดูกาลก็มีความสวยงามที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่ไล่เฉดสีตั้งแต่เขียว เหลือง ส้ม แดง ไปทั่วภูเขาและตามจุดต่างๆ ของหมู่บ้าน หรือจะเป็นฤดูหนาวที่มีหิมะขาวโพลน ไม่ว่าจะเดินทางมาช่วงฤดูไหน ก็จะได้รับประสบการณ์ และได้สัมผัสบรรยากาศความสวยแตกต่างกันไปในแต่ละซีซั่น นอกจากการเดินชมความสวยงามของบ้านเมือง สถาปัตยกรรม และธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมน่าสนใจรองรับนักท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การปีนเขา ล่องเรือในทะเลสาบ  ปั่นจักยานน้ำเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรือการเดินเที่ยวชมวิถีชิวิตสโลว์ไลฟ์ของคนในหมู่บ้าน ด้วยเมืองฮัลล์สตัทท์เป็นเมืองเล็กๆ ที่สามารถเดินทางไปเช้า-เย็นกลับได้ แต่ถ้าใครอยากดื่มด่ำบรรยากาศให้เต็มที่กว่านี้ก็สามารถหาที่พักในเมืองนี้ได้เช่นกัน ก็จะได้เห็นฮัลล์สตัทท์ในยามค่ำคืนที่สวยงามและโรแมนติกมากขึ้นไปอีก 


และไม่เพียงแต่เป็นหมู่บ้านที่สงบ สวยงามแสนโรแมนติกเท่านั้น ที่นี่ยังเป็นแหล่งผลิตเกลือโบราณ โดยมีเหมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อายุมากกว่า 7,000 ปี ซึ่งในปัจจุบันยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมขั้นตอนวิธีการทำด้วย โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปยังเหมืองเกลือ ที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 838 เมตร ใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่ 3 นาทีก็ถึง โดยจะสามารถเที่ยวชมได้ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคมของทุกปี และหากขึ้นมาถึงด้านบนแล้วเดินต่อไปอีกหน่อย ก็จะได้พบกับ Hallstatt World Heritage Skywalk ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปลอยฟ้า ที่นักท่องเที่ยวจะได้เก็บภาพความสวยงดงามของวิวเมือง ทะเลสาบ และภูเขาได้รอบทิศทางจากมุมสูง บอกเลยว่าวิวนี้สวยงามอลังการ ควรค่าแก่การได้แวะมาเยี่ยมชมกับตาซักครั้ง


3. โลโฟเทน (Lofoten) หมู่บ้านประมงสีแดงและแสงเหนือ , นอร์เวย์

พิกัดต่อมาที่อยากแนะนำสำหรับทริป เที่ยวยุโรป 5 ประเทศ ก็คือที่นี่เลย หมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) เสน่ห์สไตล์สแกนดิเนเวียแห่งซีกโลกเหนือ ตั้งอยู่ใน มณฑลนูร์ลันด์ (Nordland) ทางตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์  ถ้ามองจากแผนที่ของประเทศนอร์เวย์ ก็จะเห็นเลยว่าหมู่เกาะโลโฟเทน คือ ส่วนของแผ่นดินที่ยื่นออกมาในตอนเหนือของนอร์เวย์นั่นเอง โดยหมู่เกาะโลโฟเทนประกอบขึ้นจากเกาะน้อยใหญ่ ประมาณ 5 เกาะ และถูกเชื่อมกันด้วยถนนสายหลักอย่าง European route E10 


ถามว่าโลโฟเทนสวยยังไง ทำไมที่นี่ถึงเป็นหนึ่งในพิกัดห้ามพลาดของ ประเทศน่าเที่ยวในยุโรป? บอกเลยว่านอกจากจะมีวิวแลนด์สเคปที่งดงาม เป็นภูเขาหินแกรนิตสูงตระหง่านท่ามกลางผืนน้ำสีฟ้าครามรายล้อม ที่หมู่เกาะนี้ยังมีสถาปัตยกรรมซึ่งมีเอกลักษณ์แปลกตา ที่หาจากไหนไม่ได้ อย่าง หมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่กว่าพันปี ที่เรียกว่า Rorbuer (โรบูเอ้) คือกระท่อมชาวประมงสีแดง สีขาว สีเหลือง โดยจุดเช็คอินสำคัญที่มีชื่อเสียงต้องไปแวะชมให้ได้ก็คือ หมู่บ้าน Reine หมู่บ้านชาวประมงที่เก่าแก่ที่สุดและสวยงามที่สุดของประเทศนอร์เวย์ ชุมชนที่เป็นเหมือนศูนย์กลางทางใต้ของหมู่เกาะโลโฟเทน ซึ่งอลังการด้วยวิวธรรมชาติรอบทิศทาง แซมด้วยบ้านไม้สีแดงของชาวประมงที่ตั้งอยู่ริมเวิ้งน้ำ


 และพิกัดที่สองคือ หมู่บ้านฮัมนอย (Hamnøy) หมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก ที่โดดเด่นด้วยบ้านกระท่อมไม้สีแดงเลียบชายฝั่ง ซึ่งมีฉากหลังเป็นภูเขาสูง พิกัดถ่ายรูปมุมเอกลักษณ์คือ Hamnoy Bridge Photospot Viewpoint และนอกจากการได้มาชมวิวสวยๆ ของหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่แล้ว โลโฟเทนยังมีไฮไลท์สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวสายผจญภัยที่ชื่นชอบ “แสงเหนือ” เพราะที่นี่ถือเป็นหนึ่งในจุดชมแสงเหนือที่ได้รับความนิยม และสามารถพบเจอแสงเหนือได้ชัดและสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศนอร์เวย์อีกด้วย 


สำหรับถามว่ามาเที่ยวนอร์เวยช่วงไหนดี สภาพอากาศและฤดูกาลของหมู่เกาะโลโฟเทน จะเหมือนกับเขตสแกนดิเนเวียทั่วไปคือมี 4 ฤดูกาล โดยฤดูกาลที่เหมาะจะมาเที่ยวที่นี่ แนะนำให้มา 2 ฤดูคือ ฤดูร้อนและฤดูหนาว ขึ้นอยู่กับว่าเพื่อนๆ อยากเจอวิวแบบไหน มีวัตถุประสงค์อยากมาดูอะไร โดยในฤดูร้อน เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม จะเป็นช่วง High season จะมีกิจกรรมเยอะมาก ทั้งเดินเขา ดูวาฬ พายเรือคายัค ตกปลา สภาพท้องฟ้าจะใสตลอดทั้งวัน และจะเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ไม่ลับขอบฟ้า เรียกว่าเที่ยวได้แบบ 24 ชั่วโมง อุณหภูมิก็จะถือว่าเย็นสบายสำหรับคนไทย คือประมาณ 10-20 องศาเซลเซียส 


ส่วนในฤดูหนาว ช่วงเดือนตุลาคม-มีนาคม เป็นช่วง Low season ที่ร้านค้าต่างๆ บนเกาะกว่า 50% จะหยุดให้บริการ ทำให้ต้องเช็คสถานที่ทุกแห่งก่อนไปทุกครั้ง ช่วงเวลากลางคืนจะค่อนข้างยาว วันหนึ่งมีช่วงแสงอาทิตย์ขึ้น 8-10 ชั่วโมง ในช่วงต้นกับปลายฤดู แต่ถ้ามาตอนช่วงปีใหม่จะมืดสนิทตลอดทั้งวัน ฤดูหนาวเหมาะสำหรับผู้ที่อยากมาล่าแสงเหนือ แต่ต้องเตรียมตัวกับอากาศที่หนาวเย็น อยู่ที่ประมาณ 0-10 องศาเซลเซียสด้วย 


4. เวนิส (Venice) เมืองแห่งสายน้ำ ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก , อิตาลี

ถ้าพูดถึง ประเทศน่าเที่ยวในยุโรป จะลืมประเทศที่มีบรรยากาศสวยและโรแมนติกมากที่สุดแห่งนึงของโลกอย่างอิตาลีไปไม่ได้ โดยพิกัดเด็ดห้ามพลาดที่เราขอแนะนำก็คือ หมู่เกาะเวนิส (Venice) หรือ เวเนเซีย (Venezia) สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนทั่วโลกต่างใฝ่ฝันจะมาเยือนซักครั้ง และได้รับการขนานนามว่าเป็น  'The City of Romance' จะบอกว่าเวนิสเปรียบเสมือนห้องรับแขกแสนสวยของทวีปยุโรปก็คงไม่ผิดอะไร เพราะในแต่ละปี เมืองเวนิสได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่า 30 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว  


เมืองเวนิสมีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ หลายเกาะรวมกันกว่า 100 เกาะ เกิดเป็น “ลากูน” บนทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) สายน้ำที่คั่นระหว่างเกาะต่างๆ จะมีสะพานเชื่อมถึงกัน สำหรับการเดินทางภายในตัวเมืองก็มีเอกลักษณ์ คือการนั่งเรือกอนโดล่า ล่องไปตามจุดต่างๆ ในตัวเมือง รวมถึงการเดินเท้า นั่งเรือโดยสาร Vaporetto หรือนั่งเรือแท๊กซี่ก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกเลย 


ส่วนพิกัดเช็กอินที่เราขอแนะนำว่า ทุกคนต้องแวะไปให้ได้เมื่อมาเที่ยวเวนิส ก็คือ 1. มหาวิหารซานมาร์โก (Basilica di San Marco หรือ St. Mark's Basilica) โบสถ์สำคัญสัญลักษณ์ของเมือง ที่ผสมผสานศิลปะของหลายยุคเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งไบเซนไทน์ โรมาเนสก์ โกธิค จนถึงเรอเนสซองซ์ 


2. พระราชวังดอจ (Doge's Palace) หรือ พระราชวังปาลัซโซดูคาเล (Palazzo Ducale) เป็นพระราชวังสไตล์เวเนเชียนโกธิค สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 อดีตเคยเป็นของดยุคผู้ครองเมืองเวนิส  ภายในพระราชวังประดับด้วยทองคำ รวมทั้งมีภาพจิตรกรรมทรงคุณค่ามากมาย และในช่วงเย็นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณหน้าลานของพระราชวัง จะกลายเป็นจุดชมอาทิตย์ตกดินสุดแสนโรแมนติก ที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะมาเก็บภาพความประทับใจ 


3. หอระฆังซานมาร์โก (San Marco Campile) เป็นหอระฆังสูงถึง 98 เมตร ที่ตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิหารซานมาร์โก เรียกว่าเป็นจุดเด่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลาง จัตุรัสเปียซซ่าซานมาร์โค (Piazza San Marco) เลยทีเดียว ที่นี่เป็นอีกแลนด์มาร์คที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ และยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดไปชมวิวสวยๆ ของเมืองเวนิส จากชั้นบนสุดของหอระฆังได้ทุกวันอีกด้วย


4. คลองแกรนด์คาแนล (Grand Canal) หรือเรียกเป็นภาษาอิตาเลียนว่า “คานาเล่ แกรนเด้” เป็นคลองที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมสุดๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาล่องเรือกอนโดล่าชมวิวเมืองเวนิสต้องแวะมาขึ้นที่นี่ และ 5. มหาวิหารซานตามารียา เดลล่า ซาลูเต (Santa Maria Della Salute) โบสถ์สไตล์บาโรกที่ตั้งอยู่บริเวณแกรนด์คาแนล (Grand Canal) ทางด้านทิศใต้ ก่อนที่จะออกสู่ทะเลสาบ ภายในโบสถ์จะมีภาพเขียน และประติมากรรมล้ำค่าหลายชิ้นอยู่ด้วย


นอกจากตึกอาคารสุดแสนคลาสสิก เต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์แล้ว เวนิสยังมีพิกัดน่าเที่ยวชวนให้แวะไปชมความสวยงาม อย่างเช่น เกาะลิโด (Lido di Venezia) ที่มีชายหาดลิโด (Lido Beach) ทอดยาวอยู่ริมชายฝั่งถึง 12 กิโลเมตร เป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เหมาะกับการไปอาบแดดและเล่นน้ำทะเล บริเวณริมชายฝั่งยังมีที่พักสวยๆ มากมายให้เลือกสรร อีกทั้งยังเป็นสถานที่จัดงาน International Film Festival ประจำปีด้วย


จำนวนผู้เข้าชม 128 ครั้ง